Metroid Dread เกมที่มีระยะห่างของภาคต่อ ซึ่งทำให้เกมไม่ค่อยต่อเนื่อง มันจึงยากมาก ๆ ที่จะคาดเดาทิศทางของเกมนี้ ซึ่งภาคแรกได้วางจำหน่ายบนเครื่อง Famicom ตั้งแต่ปี 1986 และได้มาถึงภาคล่าสุดในปี 2021 ซึ่งก็เป็น 2D แม้ว่าจะมีภาคแยกด้วยก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามันยังน้อยอยู่ดี ซึ่งตั้งแต่ภาคแรกจนถึงตอนนี้ก็ผ่านระยะเวลามา 20 ปีแล้ว ทำให้ในปัจจุบันนี้มีเกมแนวนี้อยู่มากมายและเป็นเกมดังเกมดีอีกด้วย ต้องมาลองดูว่าการกลับมาในครั้งนี้จะสามารถสร้างอะไรใหม่ ๆ และยังคงมาตรฐานที่ดีไว้ได้หรือไม่ ซึ่งแฟน ๆ ต่างก็รอคอยและจะทำให้ผิดหวังหรือเกินคาดหวังต้องมาติดตามกัน
โดยเนื้อเรื่องของเกมนี้ยังคงใช้ตัวเอกเหมือนเดิมอย่าง Samus Aran ซึ่งเธอได้พบข้อความ จาก X Parasite ที่เข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับมาปรากฏอยู่ในดวงดาว CDR และทางสหพันธ์ Galaxy ก็ได้ทำการส่งหุ่นเข้าไปสำรวจ ซึ่งมีโค้ดเนมว่า EMMI หรือ เอ็มมี่ แต่สุดท้ายหุ่นที่ได้ส่งไปก็ได้ขาดการติดต่อ ทำให้ซามุส ที่มีภูมิคุ้มกันจาก X Parasite เข้าไปตรวจสอบดวงดาวและต้องกำจัดปรสิตตัวนี้ให้หมดสิ้น
แม้ว่าเรื่องราวจะต่อเนื่องจากฟิวชั่น ซึ่งได้ออกมาตั้งแต่ 19 ปีที่แล้ว แต่ถ้าใครจะมาเล่นภาคนี้เป็นภาคแรกก็สามารถสนุกกับเกมได้ และต้นเกมก็ได้มีการเกริ่นให้ผู้เล่นพอได้เข้าใจกับสถานการณ์อยู่บ้าง แต่ถ้าได้ดู เรื่องย่อภาคก่อน ๆ มาแล้วก่อนเล่น ก็จะสามารถเข้าใจและอินกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ภายในเกมได้มากขึ้น การนำเสนอเนื้อเรื่องในภาคนี้ ในตอนแรกอาจจะรู้สึกสับสนและงง โดยเฉพาะผู้เล่นหน้าใหม่ที่เพิ่งมาเริ่มเล่นในภาคนี้ ซึ่งทีมงานตั้งใจจะถ่ายทอด โดยการค่อย ๆ เฉลยปมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็น่าตื่นเต้นและเกินความคาดหมายจริง ๆ ซึ่งโดยรวมแล้วก็ถือว่าทำออกมาได้ดี และผู้เล่นจะได้สำรวจภายในเกม ซึ่งก็ทำออกมาได้แบบไม่ผิดหวัง ทั้งการออกแบบดีไซน์ การเล่น และวิธีการในการเล่นเกมเพื่อสำรวจ
Metroid Dread
โดยเกมจะค่อย ๆ พาผู้เล่นไปผจญภัยในแต่ละดินแดนบนดวงดาวแห่งนี้ และยังเต็มไปด้วยอารมณ์ของการค้นพบ ซึ่งจะมีเซอร์ไพรซ์รออยู่มากมาย และตัวเกมก็ยังให้อิสระกับผู้เล่นในการคิดว่าจะไปทางไหนดีหรือทำอะไรก่อนเป็นอย่างแรก และยังมีความลับอีกมากมายที่จะดึงดูดให้ผู้เล่นต้องไปสำรวจและหาทางลับที่อยู่ภายในฉาก และเมื่อผู้เล่นได้ความสามารถใหม่ ๆ มาก็จะทำให้เราสามารถเปิดเส้นทางและแผนที่ที่เป็นสถานที่ใหม่และที่ที่เคยอยู่ใน Maps ที่ได้เล่นผ่านมาแล้ว โดยในภาคนี้ก็จะเปิดโอกาสให้เราเข้าไปเอาสิ่งที่เราเข้าไปไม่ได้ มาให้ผู้เล่นอยากเข้าไปเอาเสมอ ซึ่งทุกครั้งที่ได้กลับมาไขความลับก็จะได้นำความสามารถใหม่ ๆ มาใช้งานเพื่อเข้าถึงให้ได้ และยังต้องใช้ความคิดและหาวิธีให้ถูกกับปริศนา และอาจจะต้องใช้ร่วมกับความสามารถอื่น ๆ และต้องใช้เวลาอยู่ซักระยะอีกด้วย
ในส่วนของระบบเกมเพลย์ ภายในเกมจะเปลี่ยนจากแอเรียหนึ่งไปยังแอเรียถัดไป และผู้เล่นจะได้ควบคุมซามุส แบบลื่นไหลและมีแอ็คชั่นที่ดู รวดเร็ว และมีความท้าทายไปในเวลาเดียวกัน ทำให้ผู้เล่นจะต้องเรียนรู้และฝึกฝนการควบคุมทิศทาง การเคลื่อนไหวของตัวละครให้ชำนาญก่อนจึงจะสามารถผ่านด่านในเกมนี้ได้ ถ้าผู้เล่นเล่นจนคุ้นเคยแล้วสามารถจับทางของเกมได้ก็จะสามารถเคลื่อนไหวและใช้แอ็คชั่นในการสำรวจและต่อสู้ได้อย่างลื่นไหล เช่น การสไลด์ผ่านช่องแคบ ๆ การกระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง พร้อมกับยิงศัตรูบนกำแพง หรือหลบเพื่อโจมตีสวนกลับ ซึ่งแอ็คชั่นทั้งหมดนี้ก็จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ระหว่างการเล่นเกมนี้รู้สึกได้เลยว่ามีความลื่นไหลมาก ๆ และตัวเกมก็ยังทำออกมาได้อย่างท้าทายด้วยตัวบอส
จนรู้สึกว่าจะไม่สามารถสู้กับมันได้ อย่าง เอ็มมี่ หุ่นที่ถูกส่งมาก่อนเราแต่กลับกลายเป็นตัวร้ายที่จะมาโจมตีเรา ซึ่งศัตรูแต่ละตัวก็จะคอยไล่ล่าและพยายามจัดการกับเราอยู่ภายในด่านของมัน ทำให้เราจะต้องหลบลีกและได้เข้าไปยังพื้นที่ของมัน ซึ่งศัตรูสามารถฆ่าเราได้ทันที หากมันจับเราได้ สิ่งที่จำเป็นที่สุดคือการหลบลีกอย่างแม่นยำและความชำนาญในการเคลื่อนไหว ซึ่งศัตรูโหด ๆ ก็สร้างความท้าทายให้กับเกมนี้อย่างมาก นอกจากจะต้องค้นหาเส้นทางลับแล้วก็ยังต้องมาถูกศัตรูที่คอยจับจ้องเราและไล่ตามเราอยู่เสมอ แม้ว่าผู้เล่นจะตายก็สามารถกลับไปเริ่มตำแหน่งก่อนที่จะเข้าเขตของศัตรูเพียงเท่านั้น ยิ่งการเจอเอ็มมี่ก็ไม่ง่าย เพราะเราไม่สามารถสู้กับมันได้เลยนอกจากสวนและหลบหนีไปให้ได้
Metroid Dread
ซึ่งในส่วนนี้ก็ถือว่ายากมาก ๆ ที่จะไปโจมตีกลับ การหนีจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่พอจะทำได้ ซึ่งการที่มีเอ็มมี่เข้ามาทำให้เกมมีความท้าทายขึ้นมากและสามารถเข้ากับเรื่องราวได้เป็นอย่างดี ยิ่งทำให้เกมนี้ดูดียิ่งขึ้นด้วย และนอกจากจะมีเอ็มมี่แล้วก็ยังมีบอสตัวอื่นอีกและก็ถือว่าทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะการต่อสู้กับพวกมันก็จะต้องใช้ความสามารถแทบทุกอย่างที่เกมนี้มี ต้องใช้เทคนิคในการจัดการและคอยเปลี่ยนวิธีการอยู่เสมอ ตามรูปแบบการโจมตีของมัน และมันจะค่อย ๆ ยากขึ้นเรื่อย ๆ หรืออาจจะต้องลองผิดลองถูก ต้องตายไปเพื่อที่จะรู้ว่าจะต้องจัดการมันยังไง หรือหาจุดอ่อนมันให้เจอให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเอ็มมี่ เป็นบอสหรือศัตรูต่าง ๆ ภายในเกมก็ไม่ง่ายเลยซักตัว ต้องใช้จังหวะและแพตเทิร์นในการโจมตีที่ผู้เล่นจำเป็นจะต้องเรียนรู้ ทำให้การเดินทางผจญภัยไปกับเกมนี้ตลอดทางจะเต็มไปด้วยอันตรายสร้างความท้าทายสุด ๆ นอกจากเทคนิคแล้วก็ยังมีเรื่องของเมนู UI ในช่วงที่ต้องเปิดดูแผนที่ อาจจะมีความดูยากและทำให้สับสนได้ เพราะมันเต็มไปด้วยข้อมูลมากมายที่จะต้องทำความเข้าใจกับมันอยู่สักพักนึง และการสอนเล่นภายในเกมก็จะพยายามให้ผู้เล่นลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ทำให้ผู้เล่นหน้าใหม่อาจจะมีปัญหาและรู้สึกรำคาญได้ แต่สำหรับผู้เล่นเก่าอาจจะรู้อยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร คงไม่มีปัญหาสักเท่าไหร่
ในส่วนของระบบกราฟฟิก สิ่งที่สังเกตได้คือเมื่อเข้าเกม Metroid Dread มามันเต็มไปด้วยอารมณ์ของ Metroid ที่แม้เวลาจะผ่านไปก็ยังคงไว้เหมือนเดิม แต่ก็มีความทันสมัยขึ้นมากกว่าเดิม มีงานอาร์ตที่โดดเด่น และหลากหลายในแต่ละฉาก ดวงดาวที่ทำออกมาได้อย่างดี และการเลือกใช้สิ่งที่ตรงข้ามแต่กลับมีความเข้ากัน และมีสีสันที่ค่อนข้างครบ แต่นำมาจัดวางให้เข้ากันได้อย่างดี ทำให้ได้บรรยากาศและอารมณ์ที่แตกต่างกัน ซึ่งใช้โทนสีในการเล่าเรื่องราวได้ ซึ่งมันจะเปลี่ยนภาพให้เป็นทั้งสีและขาวดำได้ ยิ่งถ้ามีนอยส์ก็จะทำให้บรรยากาศ ดูเยือกเย็นและหดหู่เข้าไปอีก แต่ก็ยังมีเฟรมเรทดรอปอยู่บ้าง และในส่วนของด้าน Sound effects ก็มีทั้งเสียงของศัตรูและสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ยังอาศัยอยู่บนดวงดาวแห่งนี้ มันก็ช่วยให้สภาพแวดล้อมดูมีชีวิตชีวาและมีความสมจริงมากขึ้น และยังมีแอมเบียน บรรยากาศที่ให้ความรู้สึกของโลกต่างดาวจริง ๆ บวกกับเสียงดนตรีที่ช่วยเสริมเหตุการณ์นั้น ๆ ให้มีความลึกลับและมีความกดดันอีกทั้งยังสร้างความตื่นเต้นได้อีกมาก
ก็ถือว่า Metroid Dread ทำออกมาได้ดีและคุ้มค่ามาก ๆ กับการรอคอยมากกว่า 20 ปี แม้เกมในตลาดจะมีอยู่มากมาย ซึ่งมีแรงบันดาลใจมาจากเกมนี้ แต่เกมนี้มันก็ได้พิสูจน์ตัวเองกลับมาอีกครั้งได้สำเร็จ ทั้งการที่ต่อยอดจากของเดิมที่ทำไว้ดีอยู่แล้ว เกมที่เต็มไปด้วยความลับและต้องสำรวจแผนที่มีเกม เพลงที่สนุกและท้าทายผสมกับบรรยากาศ Metroid และมีสิ่งใหม่ใหม่ที่ทำให้เกมเข้ากับยุคสมัยมากขึ้น และเหล่าบอสที่ทำให้การเล่นมีความท้าทายมาก ๆ และสนุกมาก ๆ แม้มันจะยากก็ตาม ใครที่เป็นแฟนเกมแนวนี้ก็ถือว่าห้ามพลาดเลยทีเดียว ต้องไปหามาลองเล่นให้ได้
Metroid Dread เกมที่มีระยะห่างของภาคต่อ ซึ่งทำให้เกมไม่ค่อยต่อเนื่อง มันจึงยากมาก ๆ ที่จะคาดเดาทิศทางของเกมนี้ ซึ่งภาคแรกได้วางจำหน่ายบนเครื่อง Famicom ตั้งแต่ปี 1986 และได้มาถึงภาคล่าสุดในปี 2021 ซึ่งก็เป็น 2D แม้ว่าจะมีภาคแยกด้วยก็ตาม แต่โดยรวมแล้วก็ถือว่ามันยังน้อยอยู่ดี ซึ่งตั้งแต่ภาคแรกจนถึงตอนนี้ก็ผ่านระยะเวลามา 20 ปีแล้ว ทำให้ในปัจจุบันนี้มีเกมแนวนี้อยู่มากมายและเป็นเกมดังเกมดีอีกด้วย ต้องมาลองดูว่าการกลับมาในครั้งนี้จะสามารถสร้างอะไรใหม่ ๆ และยังคงมาตรฐานที่ดีไว้ได้หรือไม่ ซึ่งแฟน ๆ ต่างก็รอคอยและจะทำให้ผิดหวังหรือเกินคาดหวังต้องมาติดตามกัน รีวิวเกม Metroid Dread โดยเนื้อเรื่องของเกมนี้ยังคงใช้ตัวเอกเหมือนเดิมอย่าง Samus Aran ซึ่งเธอได้พบข้อความ จาก X Parasite ที่เข้าใจว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่กลับมาปรากฏอยู่ในดวงดาว CDR และทางสหพันธ์ Galaxy ก็ได้ทำการส่งหุ่นเข้าไปสำรวจ ซึ่งมีโค้ดเนมว่า EMMI หรือ เอ็มมี่ แต่สุดท้ายหุ่นที่ได้ส่งไปก็ได้ขาดการติดต่อ ทำให้ซามุส ที่มีภูมิคุ้มกันจาก X Parasite เข้าไปตรวจสอบดวงดาวและต้องกำจัดปรสิตตัวนี้ให้หมดสิ้น แม้ว่าเรื่องราวจะต่อเนื่องจากฟิวชั่น ซึ่งได้ออกมาตั้งแต่ […]